ถ้าใครเคยไปเที่ยวบนภูหรือดอยสูงทางภาคเหนือตอนหน้าหนาวแบบนี้ คงเคยไปเยือนไร่สตรอว์เบอร์รีที่ปลูกตามไหล่เขา โดยสามารถเดินชมความสวยงามและเด็ดมาทานกันแบบสดๆ รสหวานละมุนเกินบรรยาย นอกจากรูปลักษณ์ที่น่ารัก รสชาติที่อร่อย สตรอว์เบอร์รี่ยังมีประโยชน์มากมาย นอกจากแปรรูปเป็นอาหารอย่าง ไอศกรีม นม โยเกิร์ต เค้กและขนมต่างๆ แล้ว สตรอว์เบอร์รียังจัดว่าเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณทางยาอีกด้วย
สตรอว์เบอร์รีอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง วิตามินเอ โฟเลต แอนโธไซยานินส์ ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง มีผลการวิจัยพบว่า สตรอว์เบอร์รีมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าส้มหนึ่งเท่าครึ่ง สูงกว่าองุ่นแดง 2 เท่า สูงกว่ากล้วยและมะเขือเทศถึง 7 เท่า มีวิตามินซี ธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงระบบหลอดเลือดและหัวใจ มีกรดแอสคอร์บิกช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน เพิ่มภูมิความต้านทานต้านโรคภูมิแพ้ ไข้หวัด ช่วยชะลอความชราและการเกิดริ้วรอยบนผิวพรรณ
ช่วยระบบทางเดินอาหาร เป็นยาระบายอ่อนๆ มีสารซูเปอร์ไฟเบอร์เพกติน ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอล อุดมไปด้วยสารฟลาโวนอยด์ กรดฟีโนลิก และกรดเอลลาจิก ช่วยปรับความดันในดวงตาให้เป็นปกติ ป้องกันกล้ามเนื้อตาเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร ช่วยให้ใบหน้าผ่องใส โดยใช้สตรอว์เบอร์รี่ 2-3 ผลผสมกับน้ำมะนาว นวดให้ทั่วใบหน้าแล้วล้างออก วิตามินซี และกรด AHA ในสตรอว์เบอร์รีช่วยปรับสภาพผิว ลดการอุดตันของรูขุมขน
ดีต่อผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก เพราะสตรอว์เบอร์รี 1 ถ้วยให้พลังงานเพียง 49 แคลอรีเท่านั้น และเต็มไปด้วยไฟเบอร์ช่วยให้อิ่มท้อง ปรับระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ ช่วยล้างพิษที่สะสมในร่างกายอย่างกรดยูริก ที่เป็นสาเหตุสำคัญของโรคเกาต์และโรคไขข้ออักเสบ รวมทั้งยังดีต่อสุขภาพเหงือกและฟัน ช่วยรักษาแผลในปาก ดับกลิ่นปาก ทำให้ลมหายใจสดชื่น ที่สำคัญวิตามินซี ไอโอดีน และสารไฟโตนิวเทรียนต์ในสตรอว์เบอร์รีช่วยให้สมองและระบบประสาททำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
สรรพคุณมากมายขนาดนี้ อย่าลืมหาผลไม้แสนดีชนิดนี้ทานบำรุงร่างกาย แล้วคุณจะหลงรักสตรอว์เบอร์รีจนไม่อยากให้มีเฉพาะตอนหน้าหนาว